10 นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2018 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก

โลกทุกวันนี้ก้าวเร็วและกระโดดไกลเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นวัตกรรม เทคโนโลยี ด้านต่างๆ ที่ความรวดเร็วในการพัฒนาการของมันทำให้ชีวิตมนุษย์ง่าย และ สะดวกมากขึ้น ที่สำคัญมันเข้ามาแทรกอยู่ในทุกๆ ส่วนของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น สังคม ความเป็นอยู่ ความปลอดภัย สาธารณสุข และอื่นๆ อีกมากมาย

มาดูกันว่า 10 สุดยอดนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้และจะมีผลในปีต่อๆ ไป ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรามีอะไรกันบ้าง

1. กล้องดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง Ai ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดแหล่งน้ำให้โลก

การขาดแคลนน้ำกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ของโลก หรือจะส่งผลกระทบคิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดในปี 2568 ซึ่งการศึกษาพฤติกรรมของแพลงตอนด้วยกล้องจุลทรรศน์จะสามารถเป็นเบาะแสสำคัญในทุกๆ อย่างของโลกนักตั้งแต่ ระดับมลพิษทางเคมี จนถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ

กล้องดิจิทัลที่พัฒนาโดย IBM  และขับเคลื่อนโดย AI มีศักยภาพในการตรวจสอบการทำงานนี้ได้ละเอียดมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลจากกล้องสามารถวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกในแบบเรียลไทม์ อันจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพน้ำและชีวิตในทะเลสาบและมหาสมุทรของเรา

วิธีการคือ ทำให้อุปกรณ์นั้นใช้พลังงานน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่ได้ใช้เลนส์หรือกลไกการโฟกัส หรือชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่ซับซ้อนอื่น ๆ แต่ใช้เพียงแสงเซนเซอร์ติดตามเงาและการเคลื่อนไหวเท่านั้น

2. กระจกตาแบบพิมพ์สามมิติที่ใช้ได้เหมือนจริง

ในที่สุดสามารถพิมพ์วัสดุชีวภาพได้ ล่าสุดเป็นการพิมพ์กระจกตาแบบสามมิติและสามารถใช้งานได้จริง โดยใช้เทคนิคละลายเซลล์แก้วตาที่มีสุขภาพดีผสมกับคอลลาเจนและวุ้นจนได้เป็นหมึกพิมพ์ชีวภาพ และสามารถปรินต์ออกมาเป็นกระจกตามนุษย์ได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับการรับรองให้ใช้ทางการแพทย์ได้ในไม่ช้า

3. Crypto-Anchors เพื่อป้องกันของก๊อป หรือ ลอกเลียนแบบ

Crypto-Anchors เป็นเครื่องมือขนาดจิ๋ว เช่น คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเกลือ จะอยู่ในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างในชีวิตประจำวัน ทั้งของอุปโภคและบริโภค เป็นการช่วยป้องกันปัญหาการปลอมแปลงและโจรกรรม โดย Crypto-Anchors จะทำงานร่วมกับ บล๊อกเชน ทำหน้าที่เหมือนลอยนิ้วมือดิจิทัล เพื่อความมั่นใจในทุกๆ การเดินทางของสินค้านั้นๆ จากแหล่งผลิตจนถึงมือผู้บริโภค ว่าเป็นของแท้อย่างแน่นอน

4. HiMirror กระจกอัจฉริยะ ที่ปรึกษาด้านความงามและผิวพรรณ

HiMirror เป็นกระจกอัจฉริยะ มีทั้งหมด 3 รุ่น รุ่นทั่วไปสามารถสั่งการด้วยเสียงได้จาก Alexa ของ Amazon และยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านผิวพรรณที่วิเคราะห์สภาพผิว ติดตามการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ต่างๆ รวมไปถึงบันทึกประวัติการใช้สกินแคร์ รวมถึงสามารถเปิดเพลง ติดตามข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต ลงคลิปใน Youtube หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้

รุ่น HiMirror Plus เพิ่มคุณสมบัติจากรุ่นธรรมดา ด้วย ไฟของกระจกที่ปรับได้ถึง 5 แบบ บันทึกประวัติผู้ใช้งานได้ไม่เกิน 6 คน มีหน่วยความจำสำหรับจัดเก็บมากขึ้น และเชื่อมต่อ wifi ได้

สำหรับรุ่นสุดท้ายคือ HiMirror Plus+ เพิ่มเติมคุณสมบัติการทำงานด้วยคำสั่งเสียงเข้ามาด้วย

5. การเข้ารหัสแบบแลตทิซที่จะต่อกรกับแฮ็กเกอร์ระดับควอนตัม

IBM กำลังพัฒนาการเข้าระบบออนไลน์ที่เรียกว่า “แลตทิซ” ซึ่งจะเป็นเครื่องมืออันมีค่าในการเก็บรักษาข้อมูลอันละเอียดอ่อนที่เราต่างก็เก็บไว้ในระบบออนไลน์ในยุคคอมพิวเตอร์ระดับควอนตัมนี้ ซึ่งวิทยาการการเข้ารหัสแบบแลตทิซ (lattice cryptography)  จะทำให้เราสามารถทำงานบนไฟล์งานใดก็ได้โดยที่พวกแฮ็กเกอร์จะไม่สามารถรับรู้ข้อมูลส่วนตัวของเราได้เลย

6. Cerebrotech Visor หมวกตรวจภาวะหลอดเลือดในสมองแตก

บริษัท Cerebrotech Medical Systems ของสหรัฐฯ คิดค้นหมวกที่ชื่อ Cerebrotech Visor ที่คอยส่งคลื่นวิทยุผ่านสมอง เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างสมองสองซีก เพื่อสังเกตอาการเส้นเลือดในสมอง จนทำให้ตรวจจับและวัดระดับความร้ายแรงของอาการได้แม่นยำถึง 92% เมื่อเทียบกับวิธีปกติที่ให้ความแม่นยำเพียง 40 – 89% ซึ่งการตรวจอาการของเส้นเลือดในสมองซึ่งอาจจะแตกนั้น หากพบเร็วก็จะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตเป็นอย่างมาก

7. Ai ที่มีลำเอียงจะหมดไป คงเหลือไว้แต่ Ai ที่ปราศจากอคติเท่านั้น

ความเชี่ยวชาญของAiมีมากที่สุดเท่าที่มันถูกเทรนขึ้นมาจากข้อมูลโดยมนุษย์ และหากข้อมูลที่เก็บมาได้นั้นเป็นข้อมูลที่เกิดจากอคติ หรือลำเอียง ผลลัพธ์ก็จะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การคิดค้นวิธีใหม่ในการตรวจสอบความลำเอียงและขจัดมันที่มาของความลำเอียงนั้น เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างซอฟต์แวร์ AI ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงไม่ใช่มุมมองที่ลำเอียงของมนุษย์

ระบบ AI ที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยวิธีนี้เพื่อให้รูปแบบที่เป็นกลางและเป็นรูปธรรมของโลกมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้เราจัดการกับปัญหาด้านศิลธรรมและจริยธรรมที่จะเกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมหรือสาขาวิชาใด ๆ ที่พยายามใช้ AI เพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างด้าน เชื้อชาติ ภาษา เพศ ความเชื่อ ฯลฯ ซึ่ง IBM ได้ พัฒนาระบบและเทรนการสร้าง Ai เช่น การทำให้อัลกอริธึม AI ใดๆ ที่เรียนรู้จากชุดข้อมูลเหล่านั้น โดยที่มีอคติเอนเอียงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และยังได้คิดค้นวิธีการทดสอบระบบปัญญาประดิษฐ์แม้ในช่วงเวลาที่ไม่มีข้อมูลสำหรับการเทรนอีกด้วย

8. ใช้งานชักโครกผ่านอินเทอร์เน็ต

Kohler ได้พัฒนาสุขภัณฑ์ รุ่น Numi ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและสั่งการด้วยเสียงได้ โดยสามารถสั่งการให้ผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ทั้ง Alexa ของ Amazon, Google Assistant และ Siri ของ Apple ให้ช่วยเปิดปิดอัตโนมัติ ปรับอุณหภูมิชักโครกให้พอดี ยกฝาโถส้วม ตั้งระบบเสียงชักโครก ตั้งค่าระบบฉีดน้ำในระดับที่ต้องการ เปิดบทเพลงคลอระหว่างทำธุระส่วนตัว ตรวจสอบการใช้น้ำได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากเสียงแล้ว ยังสามารถสั่งงานได้ง่ายๆ สะดวกสบายด้วย รีโมตแบบทัชสกรีน

9. เอ็กซเรย์ร่างกายมนุษย์เป็นภาพสามมิติ

ความก้าวหน้าครั้งนี้เป็นการผสานระหว่างเทคโนโลยีการถ่ายภาพขาวดำด้วยรังสีเอกซ์แบบดั้งเดิม และเทคโนโลยีการตามรอยอนุภาคที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานในเครื่องเร่งอนภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider : LHC) ของเซิร์น (CERN) ซึ่งเทคนิคถ่ายภาพสีเอกซเรย์นี้จะให้ภาพที่คมชัดขึ้น แม่นยำขึ้น และช่วยแพทย์ให้คำวินิจฉัยแก่ผู้ป่วยได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นด้วย ภาพถ่ายที่ได้นั้นเผยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างกระดูก กล้ามเนื้อและกระดูกอ่อนได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเผยตำแหน่งและขนาดของเนื้อร้ายได้อีกด้วย

สำหรับเทคโนโลยีของเซิร์นที่ช่วยปรับปรุงการถ่ายภาพรังสีเอกซ์นี้ คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า “เมดิพิกซ์” (Medipix) ที่ทำงานคล้ายกล้องตรวจจับ และนับอนุภาคที่ชนเขากับแต่ละจุดภาพขณะที่เปิดชัตเตอร์ ซึ่งช่วยให้ได้ภาพที่มีความละเอียดและมีค่าเปรียบต่าง (คอนทราสต์) ที่สูงขึ้น

10. คอมพิวเตอร์ควอนตัม จะถูกนำมาใช้เป็นเทคโนโลยีหลัก

ในอีก 5 ปีข้างหน้า ควอนตัมคอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นคำที่ได้ยินกันจนเป็นปกติ เป็นเครื่องมือในการทำงานและแก้ไขปัญหาในหลายๆ อุตสาหกรรม  ในอนาคตคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะถูกนำไปใช้แก้ไขปัญหาที่ทวีความซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก้าวไปไกลกว่าสิ่งที่เราสามารถทำได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบคลาสสิกเพียงอย่างเดียว

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่มองหาอาชีพในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ใด

และนักเรียนจะออกจากมหาวิทยาลัยด้วยประสบการณ์จริงในการทดลองใช้เครื่องควอนตัม

เช่นเดียวกับที่วิศวกรหรือนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่สามารถสรุปความหมายของคำว่า “บิต” ในระยะเวลาห้าปีคำว่า “คิวบิต” จะเข้าใจกันอย่างกว้างขวาง

เหล่านี้คือสิ่งที่เราควรจับตามองอย่างมาก เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมาด้านบน ไม่ว่าจะทำได้จริงแล้ว หรือพร้อมที่จะใช้งานในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า ก็ล้วนพัฒนามาเพื่อเราทั้งสิ้น

ที่มา :

Technotification
Technotification
himirror.com
urbaneerspaces.com
forbes.com